เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ พ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังธรรมะ สัจธรรม เวลาธรรมเป็นที่สงบระงับ เป็นที่ร่มที่เย็น สังคมสมัยโบราณเรา ถ้าที่ไหนมีความขัดแย้ง เขาจะไปวัดไปวากัน ถ้าไปวัดไปวาเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขไง ทีนี้เวลาไปวัดไปวาเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ตอนนี้โลกร้อนนัก เวลาเข้ามาวัดมาวา เข้ามาวัดมาวานึกว่าจะร่มจะเย็น โอ๋ย! วัดร้อนกว่าอีก

อ้าว! ถ้าร้อนอย่างนี้เขาเรียกตบะธรรมนะ มีตบะธรรม เราจะทำศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาเพื่อแผดเผากิเลสนะ ถ้าแผดเผากิเลส เราใช้ให้มันถูกต้อง ใช้ให้มันดีงามมันจะเป็นประโยชน์กับเรา

สิ่งของที่เป็นอาวุธเขาไว้ใช้เพื่อป้องกันตัว ใช้เพื่อประโยชน์ไง เขาไม่ไว้ใช้ทำลายตัวเองไง แต่สิ่งที่เราแสวงหาสิ่งนั้นมา เราต้องแสวงหามาเพื่อเป็นอาวุธ ธรรมาวุธๆ อาวุธเพื่อปราบปรามกิเลสไง ถ้าปราบปรามกิเลส จิตใจก็จะร่มเย็นลงได้ จิตใจที่มันร่มเย็นลงเพราะมันเร่าร้อน เร่าร้อนเพราะอะไร เร่าร้อนเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ดูทางโลกเขามีการแข่งขัน โลกนี้มีการแข่งขันๆ ถ้าที่ไหนมีการแข่งขัน ที่นั่นจะมีความเจริญรุ่งเรือง

แล้วเวลาแข่งขันมีความเจริญรุ่งเรืองแล้ว สิ่งที่คนที่แพ้การแข่งขันนั้นน่ะ เราทิ้งเขาไว้ข้างหลังใช่ไหม เราดูนะ ในประเทศญี่ปุ่น ในทางสถิติเขาบอกเลยนะ เป็นโรคซึมเศร้าล้านกว่าคน ในเกาหลีใต้ตอนนี้นะ วัยรุ่นบอกเลย เป็นการแข่งขันที่รุนแรงมาก เขาไม่อยากอยู่ประเทศเขาเลย เพราะอะไร เพราะถ้าใครเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ คนคนนั้นเป็นผู้ชนะ พอออกมาเขามีงานทำเลย ไอ้คนที่เข้าแข่งขันสู้เขาไม่ได้ ออกมามันตกอยู่ข้างหลังนั่นน่ะ นี่โลกมีการแข่งขันๆ นะ

แต่ในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้มีความเมตตาต่อกัน สอนให้มีน้ำใจต่อกัน ถึงเขาจะแข่งขัน เขาจะมีความด้อยสิ่งใด แต่เขาก็เป็นมนุษย์ เขาเป็นคน เขามีความสุขความทุกข์ในใจ ถ้าเขามีความสุขความทุกข์ในใจของเขา เรามีน้ำใจต่อกันๆ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ไง พอสอนอย่างนี้ไป บอกว่ามันจะไม่เจริญๆ

มันเจริญสิ มันเจริญขึ้นมาพร้อมกับความสงบสุข เจริญขึ้นมาพร้อมกับความยิ้มแย้มแจ่มใส มันไม่ใช่เจริญขึ้นมาพร้อมกับความหวาดระแวง เราเจริญขึ้นมาพร้อมความหวาดระแวง พร้อมกับการแข่งขัน มันเจริญขึ้นมาแล้วมันทุกข์มันยาก เห็นไหม นั่นโลกเจริญ

ถ้าธรรมเจริญๆ ไง เขาจะทุกข์จะร้อน มีน้ำใจต่อกันๆ เรามีน้ำใจต่อกันนะ ถ้าเรามีน้ำใจต่อกันเพื่อประโยชน์ การสร้างอำนาจวาสนาบารมีมันสร้างมาอย่างนั้น พระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้นนะ สอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เสียสละมาทุกๆ อย่าง เสียสละมาเพื่ออะไรล่ะ เสียสละมาเพื่อบารมีของท่าน

เวลาเราเป็นชาวพุทธ เรามีการศึกษา เขาให้สวดสัมโพชฌงค์ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาป่วยให้พระสวดสัมโพชฌงค์ให้ฟัง นี่ก็เหมือนกัน สวดสัมโพชฌงค์ให้ฟังแล้วท่านหายจากป่วยจากไข้ เวลาใครเจ็บไข้ได้ป่วย เขาจะสวดสัมโพชฌงค์ ในสัมโพชฌงค์ ธรรมะ วิริยะ มีการวิจัยธรรม มีสติมีปัญญา มีปัญญาค้นคว้าไง แต่ถ้ามีปัญญาค้นคว้าแล้ว ในสัมโพชฌงค์ก็บอกถึงอินทรีย์แก่กล้า สัทธินทรีย์ ศรัทธาแก่กล้า วิญอินทรีย์ วิญญาณแก่กล้า ขันธ์อินทรีย์ มันต้องมีความแก่กล้า ความแก่กล้า ความเข้มแข็ง ความแก่กล้า ความเข้มแข็งมันมาจากไหน มันมาจากไหน อ๊อกเหล็กดามเข้าไปใช่ไหม อ๊อกเหล็กดามเข้าไปให้มันเข้มแข็งใช่ไหม

ความเข้มแข็งขึ้นมา นี่ไง พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตที่เราเสียสละกันอยู่นี่ไง มีน้ำใจต่อกันนี่ไง ถ้าเรามีน้ำใจต่อเขา มีน้ำใจต่อกัน เราฝึกฝนของเรา จิตใจเห็นแต่ความอบอุ่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละๆ เสียสละของท่าน เสียสละชีวิตของท่าน ท่านเสียสละคุณงามความดีของท่าน ทำคุณงามความดีไง ทำเพื่อหมู่คณะไง ทำเพื่อสังคมไง ทำทุกอย่างเพื่อสังคม นี่อินทรีย์แก่กล้าๆ แก่กล้าขึ้นมาเพราะฉันทำมาๆ ฉันทำของฉันมา ฉันมีความแก่กล้ามา ความแก่กล้ามันมีสติมีปัญญา มันวินิจฉัยได้หมด เวลาเสนอสิ่งใดขึ้นมาในสังคม สังคมเขามีแต่การแข่งขัน มีแต่การแย่งชิง เราคัดเลือกของเราไง เวลาคัดเลือกของเรา เราพร้อม เราพร้อมที่จะทำคุณงามความดี สิ่งใดที่เป็นความดี เราส่งเสริมทั้งนั้นน่ะ ส่งเสริมทั้งนั้น

ฉะนั้น เวลามาวัดมาวาแล้ว ข้างนอกมันเร่าร้อน โลกมันมีการแข่งขัน มันมีการแข่งขัน มันดุเดือด เราไปพักผ่อน ไปชาร์จไฟ ไปชาร์จไฟชาร์จแบตในวัด ไปชาร์จแบตในวัด เข้าไปถึงในวัดแล้วนะ เราก็ทิ้งหมด ทิ้งหมดเลยนะ สิ่งที่ขัดแย้ง สิ่งที่บีบคั้นในใจ ทิ้งไว้ปากประตูนั่นน่ะ แล้วเข้าไปในวัดไม่เอาอะไรแล้ว ลืมให้หมดเลย พุทโธๆๆ ของเรา ถึงเราจะชำระล้างกิเลสไม่ได้ก็ขอให้มันเบาบางลง ถ้ามันเบาบางลงได้ ถ้าเรามีสติปัญญา มีการฝึกหัดขึ้นมา มันเบาลงได้

แต่ถ้ามันไม่เคยฝึกหัดเลย มาใหม่ๆ เลย เวลามาวัดก็เอาเรื่องของโลกมากดทับหัวใจ เวลาออกไปทางโลกจะไปทำงานก็อยากจะไปวัด อยากจะไปวัด เวลาไปอยู่ทางโลกก็คิดถึงแต่เรื่องวัด เวลาเข้ามาวัดมาวาคิดถึงแต่เรื่องหน้าที่การงาน แล้วเอ็งจะเอาอะไรล่ะ นี่เพราะเราไม่ฝึก

แต่ถ้าเราฝึกหัดของเรา เราฝึกหัดของเรา เรามาวัดมาวา เราจะมาพักผ่อนของเรา สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาแหละ เราไม่ต้องไปทุกข์กังวลกับมันจนเกินไปนัก เป็นหน้าที่การงาน เราก็รับผิดชอบ เราก็รู้ของเรา เราทำสิ่งใดๆ ที่มันยังแก้ไขไม่ได้เราวางไว้ก่อน เราวางไว้ก่อน ถ้าเรากลับเข้ามาวัดมาพักผ่อนของเรา มาพุทโธของเราให้จิตมันสงบระงับขึ้นมา พอสงบระงับขึ้นมา อ๋อ! ของเล็กน้อย แค่นี้ก็แก้ได้ทั้งนั้น มันบรรเทา มันบรรเทา ถึงมันทำไม่ได้ก็ให้มันบรรเทาเบาบางลง ถ้ามันบรรเทาเบาบางลง มันบรรเทาเบาบางลงด้วยธรรมโอสถ ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา มันจะไม่บรรเทาลงโดยการอุ้มชูของใคร ความอุ้มชูของเขามันเป็นอำนาจวาสนาของเรานะ ถ้ามีอำนาจวาสนาของเรา เรามีอำนาจวาสนา เรามีบารมีของเรา ใครๆ เขาจะช่วยเหลือเจือจาน นั่นเป็นเรื่องของเขา แต่เวลาแก้ไขจริงๆ มันแก้ไขในใจของเรา นี่พูดถึงทางโลกที่เขาจะช่วยเหลือเจือจานกัน

เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติ เราเห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ มาปฏิบัติในวัด พอปฏิบัติในวัดขึ้นมา เราละทิ้งทางโลกมาแล้ว เรามาอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านชี้นำ ชี้นำทางเรา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปจะเป็นสัจธรรมเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นข้อเท็จจริงในใจของเรา ศีลก็เป็นศีลของเราจริงๆ อธิศีล ศีลที่เกิดขึ้นมาในหัวใจแล้วมันคือความปกติของใจ มันมั่นคงของมัน ถ้ามันเหลวไหล มันจะออกไปหยิบฟืนหยิบไฟ เราไม่ไปกับมัน

ถ้ามีศีล ศีลคือความมั่นคงของใจ มันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา เราจะรู้เลย ถ้าศีล สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา พอศีลของเรา เรามีความสุข ความสงบ ความระงับ ศีลของเรา เราจะมีทรัพย์สมบัติของเรา เรามีศีล เรามีสมาธิ เรามีปัญญา ถ้าเรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา อัตตสมบัติ สมบัติส่วนตน

ดูสิ เวลาเราทำบุญกุศลขึ้นมา เราจะอุทิศส่วนกุศลให้คนนู้นคนนี้ อุทิศส่วนกุศล เพราะเราทำบุญแล้วเราได้บุญเยอะเลย แต่ถ้าเวลาศีลเราปกติ เรามีสมาธิของเรา นี่อัตตสมบัติ สมบัติของใจเรา ใครจะอุทิศ ฉันทำของฉันเอง ฉันทำเอง ใครจะอุทิศ เราทำเพื่อเราๆ ถ้าทำของเราแล้วเป็นสมบัติของเรา ถ้ามันจะตายก็ตายกับเรานี่แหละ ดูสิ สัญญาความจำได้หมายรู้ในชาตินี้ ในปัจจุบันนี้เวลามันจะตาย มันจะตายไปกับเรา สัญญาที่อยู่กับเรา สมบัติของเราเวลาตายไปแล้ว ทุกข์แต่เรื่องยังไม่ได้แบ่งสมบัติเลย ห้ามตายๆ จะมาแบ่งสมบัติก่อน แบ่งเสร็จแล้วค่อยตาย นั่นมันจำของมันไป เพราะมันแบ่งคนอื่น ของมันไม่ได้อะไรไปไง มันได้แต่ความวิตกกังวลมันไปไง

แต่ถ้าเราทำความสงบระงับ ศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นของเราใช่ไหม มันอยู่กับใจเรา มันเป็นสมบัติทิพย์ มันเป็นทิพย์สมบัติที่ใครจะแย่งชิงของเราไปไม่ได้ เพราะเราสร้างขึ้นมาอยู่กับใจของเรา มันเกิดกับเรา มันจะไปกับเรา ของของเรา เราทำมาเอง ทำมาเอง นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เวลาเราจะบวชมาแล้ว อัตตสมบัติเกิดขึ้นที่ใจ ความลับไม่มีในโลก ความลับของคนอื่นเขาก็เป็นเรื่องของคนอื่นเขา ความลับของเรา เราทำสิ่งใดไว้ เรารู้เราเห็นตลอด รู้แจ้งแทงตลอดในใจของเรา แล้วรู้แจ้งแทงตลอดในใจของเรา ทำสิ่งใดไว้ นั่นล่ะกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เวลามันจะเกิดมันเกิดจากตรงนั้น เกิดจากการวิตกกังวลตรงนั้นน่ะ ไอ้ตรงนั้นมันจะพาไปเกิด

แล้วถ้าเราสำรอก เราคายของมันออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมีคุณธรรมในหัวใจ เราแสวงหาๆ แสวงหาสัจธรรมอันนั้น แต่สัจธรรมอันนั้นในพระไตรปิฎกนั้นเป็นทฤษฎีเท่านั้น มันไม่มีใครรู้แจ้งในใจอันนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรู้แจ้งในใจของท่าน ท่านแสดงออกมา เทวดา อินทร์ พรหมไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่น เทวดามาถาม เทวดาจะฟังเทศน์เรื่องอะไร ถามเทวดาเลย อยากฟังเรื่องอะไร เทวดาท่านก็ตอบเป็นภาษาใจ ภาษานึก โยมนึกมา เราก็นึกตอบ แล้วเราไม่ต้องเทศน์เลย นี่ภาษาใจ ภาษาใจคือความรู้สึกนึกคิด เพราะมันรู้เท่าทันกัน แล้วมันมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากใจหลวงปู่มั่นไง เพราะใจหลวงปู่มั่นสว่างกระจ่างแจ้งในใจไง

เวลาฟังเทศน์ๆ สัมโพชฌงค์ อริยสัจสัจจะความจริง มันก็เป็นวิธีการแก้ไขใจอันนี้ เพราะเวลาวิธีการแก้ไขใจอันนี้ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์มันคืออะไร ทุกข์ที่มันนั่งอยู่นี่แล้วทนไม่ได้ มันพลิกขา นั่นแหละทุกข์ ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ อารมณ์ที่มันบีบคั้นทนอยู่ไม่ได้ สิ่งใดที่เราทนไม่ได้ นั่นแหละทุกข์ทั้งนั้นเลย ทุกข์คือความที่ทนอยู่ไม่ได้ แล้วทำไมถึงทนไม่ได้ล่ะ

สมุทัยควรละ เข้าใจผิด ความเข้าใจผิด ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นั่นสมุทัยทั้งนั้นแหละ สมุทัยทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ครูบาอาจารย์ของเรานั่งตั้งแต่หัวค่ำจนตลอดรุ่ง ไม่ขยับเลย แล้วที่มันจะหลอกลวงขึ้นมา ความทุกข์มันจะจรมา มันจะมายุมาแหย่ ไม่สน ไปไกลๆ ไปไกลๆ ไม่รับรู้ อยู่กับพุทโธ นั่งจนสว่าง ไม่พลิก ทุกข์อยู่ไหน ทุกข์อยู่ไหน ในเมื่อจิตมันสงบระงับขึ้นมา มันรักษาของมันได้ ทุกข์มันอยู่ไหน ในเมื่อทุกข์มันเข้ามาในใจของเราไม่ได้ ทุกข์มันอยู่ไหน นี่ไง สมุทัยควรละๆ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ละแล้วมันเกิดนิโรธ นิโรธเกิดจากอะไร เกิดจากมรรค เกิดจากการกระทำของเรา ถ้าทำของเรา เราทำของเรา

นี่ไง ถ้าเรามาวัดมาวา ถ้ามันเป็นที่ร่มที่เย็น ที่ร่มที่เย็นเพราะว่าเขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาได้ ธรรมโอสถไง ถ้ามันที่ไหน โรงพยาบาลไหนมีหมอ โรงพยาบาลนั้นจะรุ่งเรือง ไปโรงพยาบาลที่หมอย้ายออกไปหมดแล้ว เหลือแต่โรงพยาบาลเปล่าๆ คนไข้ก็ไม่อยากเข้าโรงพยาบาลนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันมีเนื้อหาสาระ ศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นเนื้อหาสาระของเราขึ้นมา นี่ธรรมโอสถ นี่แหละตัวหมอ นี่ตัวยา ตัวที่มันจะรักษาหัวใจนี้ไง นี่ไง ไอ้โรงพยาบาลก็ขวดยาไง ไปวัดไหนก็ โอ้โฮ! ห้องแอร์เลยล่ะ ห้องกระจกด้วย มีทุกอย่างพร้อมเลย แต่หัวใจเร่าร้อน

เราอยู่กันโคนต้นไม้นะ อยู่กับข้อเท็จจริง เราไม่ต้องแสวงหาสิ่งใดมา สิ่งนั้นแสวงหา ใครก็แสวงหาได้ โลกก็แสวงหาได้ โลกก็เร่าร้อนนักอยู่แล้วไง แต่เราจะเอาความจริงของเราขึ้นมา ความจริงแล้วมันต้องไม่มีใครบำรุงรักษาไง โคนต้นไม้ เราเอาไม้กวาดกวาดมันก็โล่งแล้ว ตรงไหนอยู่ได้แล้ว ตรงไหนที่มันสะดวกที่มันสบายที่สุด ครูบาอาจารย์ของเราท่านสอนนะ สอนความเรียบง่าย ยิ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียบง่ายใหญ่เลย แต่เพราะความศรัทธาของเราไง เพราะความศรัทธาของเรา เพราะความเชิดชูของเราไง เพราะความศรัทธาของเรา เราก็ถวายสิ่งที่ประณีตไง สิ่งที่เป็นสมบัติของเรา เราถวายสิ่งที่เราปรารถนาดีอันนั้นไง มันยุ่ง มันยุ่งตรงนั้นน่ะ แต่ถ้าความจริงมันเรียบง่าย เรียบง่ายในใจนี้

ฉะนั้น เวลาเรามาวัดจะมีศาสนพิธี พิธีกรรม พิธีกรรมนั้นมันก็สอนไง สอนพวกที่ไม่เคยเข้าวัด ไปวัดต้องทำอย่างไรล่ะ ไปวัดต้องทำอย่างไรบ้าง ทำอะไรไม่ถูกเลย อ้าว! ไปวัดก็เริ่มต้นถวายทาน กราบพระ นั่นมันเป็นวิธีการสอนคนเท่านั้นน่ะ มันเป็นวิธีการ แต่วิธีการอันนั้นมันก็เป็นประโยชน์กับผู้ที่เราจะวางพื้นฐานให้กับเยาวชน

แต่เราเป็นนักรบนะ เวลามาวัด ทุกคนบ่นว่าทุกข์ๆๆ ทั้งนั้นน่ะ เวลามาวัดทุกคนอยากได้ของจริง เวลามาวัดอยากได้ของดี แล้วของดี ของดีมันอยู่ที่ไหนล่ะ

ของดี พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หัวใจที่มามันทุกข์มันยากขึ้นมา โดนกิเลสเหยียบย่ำมา พอเข้ามาวัดมาวา ออกจากวัดไปยิ้มแย้มแจ่มใสเลย อ๋อ! พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ พุทธะเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา รื่นเริง รื่นเริงแล้วเราล่ะ เราก็อยู่ชีวิตของเราไง ปัจจัยเครื่องอาศัยมันก็มีทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่มีงานทำ ไปลงทะเบียนคนจน รัฐบาลจ่ายให้ ๕๐๐ ลงทะเบียนคนจนก็ได้ เราลงทะเบียนอะไรก็ได้ ถ้าพูดถึงเรื่องการใช้จ่ายนะ ปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านี้แหละ

แต่ที่มันทุกข์มันยากอยู่นั่นเพราะมันจะเทียมหน้าเทียมตาเขาไง อะไรก็จะเทียมหน้าเทียมตาเขา เทียมหน้าเทียมตาเขา พระก็เทียมหน้าเทียมตาเขา พระก็มีปัจจัย ๔ เหมือนกัน มันเทียมหน้าเทียมตา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้เลย เวลาทางโลกเขากินเพื่อศักดิ์ศรี กินเพื่อเกียรติ กินเพื่อดำรงชีวิต แต่สำหรับพระนะ เวลาเธอได้ปัจจัย ๔ มาแล้ว เวลาจะขบจะฉันก็เหมือนกับให้หยอดแค่น้ำมันล้อรถเท่านั้น อย่าให้มันเสียงดังออดแอดเท่านั้นเอง ฉันเพื่อดำรงชีวิตนี้ไว้ แล้วดำรงชีวิตนี้ไว้

ดูสิ ทางโลกเมื่อก่อนเวลาโลกไม่เจริญ ทุกคนมีแต่ความขาดตกบกพร่อง ตอนนี้เวลาการคมนาคมทุกอย่างมันพร้อม เดี๋ยวนี้โรคอ้วน ไม่น่าเชื่อว่าโรคอ้วนเป็นโรคที่ต้องรักษา กินกันมากเกินไป อุดมสมบูรณ์เกินไป จากที่ไม่มีจะกิน เขาไม่มีจะกิน ไอ้โรคอ้วนๆ จะเป็นจะตาย

นี่ไง ปัจจัย ๔ เครื่องอาศัยๆ ดำรงชีวิต ฉันเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้น ดำรงชีวิตไว้เพื่อค้นคว้าหาความจริงในใจของเรา ถ้าหาความจริงของเรา นี่มาวัดมาวาไง ถ้ามาวัดมาวาแล้ว อย่างน้อยก็ให้มันบรรเทาทุกข์ ถ้าผู้ที่มีหลักมีเกณฑ์พยายามปฏิบัติตามความจริงขึ้นมาก็ให้ได้สัจจะความจริงอันนั้น เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกนั้น ศาสนานี้เป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล ศาสนามีมรรคมีผล ถ้ามรรคผลมันไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลาหรอก อกาลิโก ไม่เกี่ยวกับกาล ไม่เกี่ยวกับเวลา มันมีสัจจะความจริงตลอดเวลา มันจะร้อนมันจะหนาวขนาดไหน ความจริงก็คือความจริงอยู่อย่างนั้น จิตใจของเราจะเข้าสู่ความจริงได้หรือไม่ จิตใจของเราจะมีอำนาจวาสนาหรือไม่ เราทำของเราตรงนี้ไง เราทำของเราตรงนี้ให้มันกังวานกลางหัวใจนี้ ถ้ามันกังวานขึ้นมากลางหัวใจแล้วจบ

เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมนะ ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า ใครก็แล้วแต่ถ้าเข้าไปถึงสัจธรรมอันนั้นแล้ว เวลาหลวงตาท่านบอกว่าพุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงอยู่ในใจอันนั้น มันเคารพบูชาจากหัวใจนะ

พ่อแม่เราก็รัก ใครไม่รักพ่อแม่ไม่มีหรอก ใครก็รักพ่อแม่ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าใครบรรลุธรรมขึ้นมาแล้ว โอ้โฮ! มันจะรักองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รักศาสดามหาศาลเลย พ่อแม่ครูจารย์ ภาษาอีสานตั้งไว้ เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งครู เป็นทั้งอาจารย์

นี่ก็เหมือนกัน พ่อแม่ของเราเป็นครูคนแรกของเรา แต่พ่อแม่ของเราก็ให้ชีวิตนี้มา ให้ชีวิตนี้มานี่เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ ถ้าเราบรรลุธรรมขึ้นมา โอ้โฮ! มันจะซาบซึ้งๆ นี่ไง ถ้าผู้ที่มีคุณธรรมแล้วเขาเรียกลงใจ ลงใจในธรรม คนเราถ้ามันมีคุณสมบัติอันนั้น มันมีความลงใจ มันเคารพนับถือ

แต่นี่มันพูดกันที่ปาก ดูสิ พ่อแม่ที่มีคุณๆ มันทิ้งพ่อทิ้งแม่ไว้ที่บ้าน พ่อแม่มีบุญคุณ มันไม่เคยไปดูพ่อแม่มันเลย มันบอกมันรักพ่อรักแม่มัน แต่มันไม่เคยคิดถึงพ่อแม่มันเลย นี่ก็เหมือนกัน ชาวพุทธเคารพพระพุทธเจ้าๆ หลวงตาท่านบอกว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม เหยียบหัวพระพุทธเจ้า คือเหยียบย่ำธรรมวินัย เหยียบย่ำไปแล้วแสดงธรรม หลวงตาท่านเน้นบ่อยๆ คนที่หัวใจมันผ่องแผ้ว คนที่หัวใจเป็นธรรม เห็นแล้วมันสะเทือนใจไง ถ้าเห็นแล้วสะเทือนใจ พูดออกไปแล้วมันก็พูดอยู่คนเดียว ประชาธิปไตย ยกทีไรแพ้ทุกที เพราะความเห็นอย่างนั้นเป็นความเห็นของโลก

แต่ความเห็นของธรรม เวลาท่านพูดออกมาท่านสะเทือนใจ ท่านถึงพูดออกมา เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม อวดว่าเคารพ อวดว่าบูชา แต่พฤติกรรมของมัน แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันลงตั้งแต่ที่ใจ เพราะใจมันรู้มันเห็นไง ใจเรารู้ ใจเราเห็น ใจเราเคารพนะ เวลามันเคารพบูชาอันนั้น ดูสิ ทำไมพระอานนท์ เวลาเทวทัตปล่อยช้างนาฬาคิรีออกมา พระอานนท์เข้าขวางเลย คนที่เคารพบูชา สละชีวิตๆ สละชีวิตถวายเลย สละชีวิตถวายเลย

นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมานะ นี่พอเป็นจริงขึ้นมา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมตอกย้ำที่นี่ โยมก็ฟังทุกวัน เราเทศน์วันหนึ่ง ๓-๔ รอบ ฟังทุกวันตอกย้ำๆ ขึ้นมา ให้มันเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ ถ้าเป็นจริงขึ้นมานะ มันเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นจริงในใจอันนั้น ไอ้นี่คือกิริยาทั้งหมด เวลาพูดมันอธิบาย อธิบายข้อเท็จจริงอันนั้น แต่จริงๆ อันนั้นถ้าใครทำขึ้นมาแล้วมันจะกังวานกลางหัวใจดวงนั้น เอวัง